การติดเชื้อไวรัสไรโน
เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหวัด

การติดเชื้อไวรัสไรโนอาจทำให้เกิดอาการเจ็บคอ การติดเชื้อในหู และการติดเชื้อในไซนัส (โพรงอากาศที่อยู่ในกระดูก ethmoid อยู่ระหว่างส่วนบนของสันจมูกกับหัวตาทั้งสองข้าง) ทั้งยังอาจทำให้เกิดโรคปอดบวมและโรคหลอดลมฝอยอักเสบ แต่ไม่พบบ่อยครั้งนักเด็กส่วนใหญ่จะเป็นหวัด 8 ถึง 10 ครั้ง ในช่วงอายุ 2 ปีแรก โดยถ้าเด็กอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กเล็กที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กคนอื่นๆ ที่อาจเป็นหวัดอยู่แล้ว เด็กคนนั้นก็มีโอกาสที่จะติดหวัดมากขึ้นด้วย

การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไรโน

เชื้อไวรัสไรโนสามารถแพร่จากคนหนึ่งไปสู่คนอื่นๆ ได้ เมื่อเด็กที่ติดเชื้อไวรัสไรโน จะมีอาการน้ำมูกไหล สิ่งคัดหลั่งทางจมูกที่ติดเชื้อจะเปื้อนมือ และเปื้อนตามโต๊ะ ของเล่น และสถานที่อื่นๆ เด็กที่ติดเชื้ออาจเอามือไปสัมผัสมือ หรือผิวหนังของเด็กคนอื่นๆ หรือไม่ก็สัมผัสของเล่นที่มีเชื้อไวรัส แล้วก็เอามือไปสัมผัสนัยน์ตาหรือจมูกซึ่งทำให้เด็กติดเชื้อได้ หรือไม่ก็เด็กอาจหายใจเอาเชื้อไวรัสในอากาศที่มาจากเด็กคนอื่นที่เป็นไข้หวัดอยู่ก่อนแล้วที่จามหรือไอออกมา

ถึงแม้ว่าเด็กอาจสามารถติดหวัดเมื่อไหร่ก็ได้ การติดเชื้อหวัดถือเป็นเรื่องปกติในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และฤดูใบไม้ผลิ ในต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยจะเป็นช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว ที่มีโอกาสทำให้เป็นหวัดได้มากกว่าปกติ

เมื่อเด็กติดหวัดจะมีอาการอะไรบ้าง?

คนส่วนใหญ่รู้จักลักษณะ และอาการของไข้หวัดกันอยู่แล้ว ไข้หวัดในเด็กอาจจะเริ่มแสดงอาการโดยมีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมา จากนั้นน้ำมูกจะข้นขึ้นและมีสีออกน้ำตาล เทา หรือเขียว สีเหล่านี้เป็นอาการปกติสำหรับเด็กที่เริ่มมีอาการดีขึ้นจากการติดหวัดเมื่อเด็กติดหวัดอาจแสดงอาการดังนี้
1. จาม
2. มีไข้ต่ำ (101-102 องศาฟาเรนไฮต์หรือ 38.3-38.9 องศาเซลเซียส)
3. ปวดศีรษะ
4. เจ็บคอ
5. ไอ
6. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
7. เบื่ออาหาร
8. ในเด็กบางคน อาจมีหนองที่ต่อมทอนซิล ซึ่งเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย (เชื้อสเต็ปโตค็อกคัส) อย่างหนึ่ง
โดยทั่วไป เด็กที่ติดเชื้อไวรัสไรโนอาจไม่แสดงอาการในช่วง 2 ถึง 3 วันแรก และเมื่อเริ่มมีอาการ ก็จะคงอยู่ไปอีกประมาณ 10 ถึง 14 วัน แต่ในบางกรณีเด็กอาจจะมีอาการดีขึ้นเร็วกว่านั้น

จะช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้นได้อย่างไร?

เมื่อเด็กติดหวัด ควรให้เด็กได้พักผ่อนอย่างเพียงพอและดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ ถ้ามีไข้ ถ้าเด็กมีอาการกวนหรืองอแงมากกว่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้รับยาอะเซตามิโนเฟนเพื่อลดไข้ อย่าให้ยาแก้หวัดและแก้ไอที่ซื้อมาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะยาที่ซื้อมาเองไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้และส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ช่วยให้เด็กดีขึ้น

แล้วเมื่อไรจึงควรไปพบแพทย์?

ถ้าเด็กเล็กที่มีอายุ 3 เดือนหรือต่ำกว่านั้นติดหวัด ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับเด็กเท่านั้น เพราะเด็กเล็กมีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรงเมื่อติดหวัด รวมทั้งอาจมีอาการปอดบวมหรือหลอดลมฝอยอักเสบ สำหรับเด็กโตถ้าติดหวัดอาจไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์
แต่ให้พบแพทย์ทันทีถ้าเด็กโตมีอาการดังนี้

1.ริมฝีปากหรือเล็บเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน

2. แน่นจมูกหรือหายใจไม่ออก
3. ไอต่อเนื่องและไม่ดีขึ้น (ดูรายละเอียดในบทความ ทำไมเด็กจึงมีอาการไอเรื้อรัง)
4. เหนื่อยหอบ
5. ปวดหู ซึ่งแสดงว่าเด็กอาจมีอาการหูติดเชื้อ

แล้วจะดูได้อย่างไรว่าเด็กติดหวัด?

คุณสามารถบอกได้ว่าเด็กติดหวัดโดยการสังเกตอาการของเด็ก โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ (การตรวจเลือดหรือสารคัดหลั่งในลำคอ) เพื่อหาประเภทของการติดเชื้อในเด็กที่มีอาการหวัด

จะรักษาเด็กที่ติดเชื้อไวรัสไรโนอย่างไร?

ส่วนใหญ่แล้วการติดเชื้อไวรัสไรโนจะแสดงอาการที่ไม่รุนแรง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรับยา ส่วนยาปฏิชีวนะไม่สามารถใช้กับไข้หวัด รวมถึงการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ ด้วย

จะป้องกันเด็กจากการติดเชื้อไวรัสไรโนอย่างไร?

ควรระวังไม่ให้เด็กทารกที่มีอายุต่ำกว่า 3 เดือนอยู่ใกล้เด็กหรือผู้ใหญ่ที่เป็นหวัด
ดูให้แน่ใจว่าเด็กๆ ได้ล้างมือบ่อยๆ วิธีการนี้จะช่วยลดโอกาสการรับเชื้อไวรัส

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> https://www.goodtechthai.com/research

Share to :